วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566

สาวสุดช้ำนั่งมองแม่ปวดท้องทรมานนานกว่า 40 ชม.ใน รพ. จนสิ้นใจต่อหน้า ร้องขอความเป็นธรรมแม่ขับรถมอเตอร์ไซค์ล้มซี่โครงหัก พูดคุยได้ปกติแต่ปวดท้องตลอดเวลา ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่ แจ้งหมอขอย้าย หมอบอก เอาอยู่แค่ซี่โครงหัก อ้อนหมอขอย้ายหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล สุดท้ายแม่ตาตั้งตายคาเตียงต่อหน้า หมอกลับคำเป็น รพ.เล็กเครื่องมือไม่พร้อม ปฏิเสธไม่รับผิดชอบ

วันที่ 25 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านดงพลอง ต.ดงพลอง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแคนดง อ.แคนดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาลอย่างทรมาน

ตรวจสอบผู้ร้อง น.ส.นัญชิดา ชมชัยภูมิ อายุ 39 ปี ทำงานอยู่ในสำนักงาน อบต.ดงพลอง อ.แคนดง ได้นำเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง สิทธิวงศ์ อายุ 58 ปี แม่ของตัวเอง ที่เสียชีวิตไปเมื่อกลางดึกของวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา มาร้องสื่อ

โดยในเอกสารการเสียชีวิตของนางรวง หมอระบุ กระดูกซี่โครงหักจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ เวลา 02.46 วันที่ 10 มิ.ย.การเสียชีวิตดังกล่าวของนางรวง สร้างความกังขาให้กับ น.ส.นัญชิดา ลูกสาวเป็นอย่างมาก เพราะอาการของแม่ไม่ควรจะเสียชีวิต

น.ส.นัญชิดา เล่าว่า เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.เวลา 07.00 น.แม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านเพื่อไปทำงานเป็นแม่บ้านในตัวอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์ ระยะทางห่างจากบ้านประมาณ 15 กม. เมื่อขับรถไปได้ประมาณ 5 กม.ได้เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มกลางถนน

ซึ่งจากคำบอกเล่าของแม่ มีสุนัขมาวิ่งตัดหน้าจึงเบรกแล้วล้มลง ทำให้รถจักรยานยนต์ล้มใส่ร่าง หลังจากนั้นหน่วยกู้ชีพ อบต.ดงพลอง ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลแคนดง ซึ่งหลังจากนั้นตัวเองเข้าไปดูแลแม่อย่างใกล้ชิด

โดยอาการของแม่มีอาการปวดช่องท้องตลอดเวลา จนกระทั่งหมอเอาตัวไปเอ็กซ์เรย์ พบว่ากระดูกซี่โครงด้านขวาหัก 3 ซี่ ไหปาร้าขวาหัก หลังจากนั้นนอนรอหมอมาดูอาการเป็นระยะ แต่อาการปวดท้องของแม่ไม่ดีขึ้น แม่บอกตลอดเวลาว่า ปวดท้องมาก ให้หมอมาฉีดยาให้ด้วย

ช่วงบ่ายวันที่ 8 มิ.ย.จึงขอย้ายแม่ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ได้รับคำตอบจากหมอว่า อาการแม่ไม่เป็นอะไรมาก ทางโรงพยาบาลรักษาได้ โรงพยาบาลบุรีรัมย์มีคนไข้แน่น ไม่ควรจะไปเพราะที่นี่ เอาอยู่ ขณะแม่ยังนอนร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา

เวลา 21.00 น.วันที่ 8 มิ.ย.ไปร้องขอย้ายแม่ไปรักษาต่ออีกครั้ง ได้รับคำตอบจากหมอว่า เวลานี้หมอไม่ทำงานจะต้องรอรุ่งเช้าของวันถัดไปอยู่ดี ตนต้องนอนฟังเสียงแม่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืนจนไม่ได้นอน

วันที่ 9 มิ.ย.แม่ยังมีอาการเช่นเดิมคือปวดช่องท้องตลอดเวลา จึงไปแจ้งหมออีกว่า"แม่ปวด"หมอได้เอายามาฉีดเพื่อให้หายปวด แต่บรรเทาได้เพียง 4 ชม.แม่ก็กลับมาปวดอีก

น.ส.นัญชิดา กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นแม่บอกว่าหายใจไม่ออก หมอจึงเอาอ๊อกซิเจนมาใส่ให้ แต่ไม่ได้ทำอะไรต่ออีก พยายามขอย้ายแม่ไปรักษาที่บุรีรัมย์ แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ส่วนตัวอยากจะพาแม่ไปเอง แต่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงจำเป็นต้องรอให้แม่ดีขึ้นตามที่หมอแจ้ง

ตอนค่ำวันที่ 9 แม่ยังเหมือนเดิม ไปขอหมอให้ย้ายแม่อีกครั้ง ทำให้หมอไม่พอใจและได้รับคำตอบเดิมว่า เวลานี้หมอออกเวรแล้ว ต้องรอวันรุ่งขึ้น และเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.ของคืนเดียวกันแต่เป็นวันที่ 10 มิ.ย.แม่เกิดอาการตาค้างพยายามดึงสายอ๊อกวิเจนออก เหมือนต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แล้วนิ่งไป

จึงวิ่งไปแจ้งหมอมาดู โดยรอบนี้หมอตื่นเต้นมากที่สุดหลังมาดูอาการของแม่ ต่างจากทุกครั้งที่ไปแจ้ง จากนั้นหมอหลายคนได้พยายามปั๊มหัวใจแม่นานกว่า 1 ชม.แม่ไม่ฟื้น แล้วหมอแจ้งว่า หมอเสียใจด้วย

น.ส.นัญชิดา กล่าวอีกว่า งานศพแม่โรงพยาบาลเอาพวงหรีดไปมอบให้ 1 พวง และช่วยงานมา 1,000 บาท หลังจากฌปนกิจศพแม่เสร็จ หมอได้แจ้งกับตนว่า โรงพยาบาลเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอในการรักษา จะให้โรงพยาบาลช่วยเยียวยาแบบไหน ยอมรับแปลกใจที่หมอเปลี่ยนคำพูดจากคำว่า เราเอาอยู่เรารักษาได้ไม่หนัก มาเป็นเครื่องมือไม่เพียงพอ

หลังจากตนแจ้งว่า แม่มีหนี้สินหลายแสนบาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาโรงพยาบาลโดยเฉพาะ ผอ.โรงพยาบาล ได้ออกมาชี้แจงกับตนว่าแม่มีประกันสังคมควรจะไปเบิกเงินเยียวยาจากประกันสังคม ทางโรงพยาบาลจะช่วยวิ่งด้านเอกสารช่วย ทางโรงพยาบาลไม่มีเงินจะเยียวยาให้

ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม และเชื่อว่าแม่เสียชีวิตเพราะความบกพร่องในการบริหารจัดการของโรงพยาบาล หากพาแม่ไปส่งรักษาต่อแล้วแม่เสียชีวิตตนไม่เสียใจ แต่ครั้งนี้พยายามร้องขอ เพราะแม่รู้สึกตัวตลอดเวลา พูดตอบโต้ได้แม่ไม่ควรตายแบบนี้เชื่อว่าแม่ต้องมีความผิดปกติบางอย่างในช่องท้อง แต่หมอไม่สนใจ “สงสารแม่ที่เจ็บปวดทรมานยาวนานกว่า 40 ชม.แต่ใครช่วยไม่ได้ จึงออกมาร้องผ่านสื่ออยากให้ผู้มีความรู้ด้านนี้มาชี้แนะ

ข่าวโดย ธีรยุทธ์ ชำนาญกอง ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ จ.บุรีรัมย์