วันที่ 11 มิ.ย. 2566 นายเอกราช อุดมอำนวย ว่าที่ สส.ก้าวไกล เขตดอนเมือง อดีตพนักงานไอทีวี (ITV) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ekkarach Udomumnouy - MFP เปิดเอกสารลับเฉพาะ แจ้งการเลิกจ้างพนักงานไอทีวี โดยในเอกสารพบว่ามีข้อความสำคัญว่า
เนื่องด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอซ เอฟ ระหว่าง สปน. และบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (บริษัท) เป็นเหตุให้บริษัทไม่สามารถประกอบกิจการและดำเนินธุรกิจสถานีโทรทัศน์ไอทีวีต่อไปได้ตามกฎหมาย และทำให้บริษัทต้องยุติการประกอบธุรกิจสถานีโทรทัศน์ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
ขณะที่ นายเอกราช ได้มีการระบุข้อความว่า ในฐานะอดีตคนไอทีวี ผมสะเทือนใจไอทีวีตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอีกครั้ง
ผมทำงานที่แรกก็ที่ไอทีวี เริ่มต้นจากเป็นนักศึกษาฝึกงาน โต๊ะผู้ประกาศข่าว ของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อปี 2548 จากนั้นได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของสถานีในตำแหน่งครีเอทีฟ รายการร้ามชำยามเช้า จากนั้นในปี 2549 ตนเองได้ย้ายมาอยู่ที่ฝ่ายข่าวไอทีวี รับผิดชอบโต๊ะข่าวสังคม รายการข่าวเที่ยงวัยทีน จนกระทั่งสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานในวันที่ 7 มีนาคม 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ผมต้องตกงานเหมือนกับพนักงานไอทีวีนับพันคน
ก่อนที่ผมจะทำงานด้านสื่ออีกระยะ ไปประกอบธุรกิจส่วนตัว เคลื่อนทางการเมืองในฐานะคนอยากเลือกตั้ง และได้มาทำงานการเมืองกับพรรคก้าวไกล
แต่เมื่อผม ได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.เขตดอนเมือง ของพรรคก้าวไกล และจะทำหน้าที่เพื่อโหวตให้ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่ประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมมาทำหน้าที่นี้และพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 มากถึง 14 ล้านเสียง แต่กลับกลายเป็นว่า ประเด็นหุ้นไอทีวี ของคุณพิธา กลับถูกนำมาใช้ในทางการเมือง
ซึ่งผมไม่ได้ปฏิเสธการตรวจสอบตามสิทธิในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่ในฐานะอดีตคนไอทีวีรู้สึกเจ็บปวดที่ครั้งหนึ่งไอทีวีเคยตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนกระทั่งต้องปิดตัวลงไป และครั้งนี้ การที่หุ้นไอทีวี ซี่งเคยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประชาชนและนักลงทุน สามารถซื้อหุ้นได้อย่างเปิดเผย มีผู้ถือหุ้นนับหมื่นราย และถูกพักการซื้อขาย รวมทั้งยุติการเป็นสถานีโทรทัศน์หรือทำธุรกิจสื่อ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีมติให้ยกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 หรือ กว่า 16 ปีแล้ว ส่วนหุ้นก็หยุดการซื้อขายมายาวนาน จนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 2557
การดำเนินธุรกิจเป็นเพียงการต่อสู้คดีตามกฎหมายเท่านั้น มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินต้นที่ไอทีวีเคยประกอบกิจการเท่านั้น แต่ขณะนี้กลับมีความพยายามที่จะทำให้ส่งผลในทางที่ไม่เป็นคุณกับนายพิธา
นอกเหนือจากการตรวจสอบตามสิทธิและกฎหมาย มีการแก้ไขเอกสารต่างๆ เพื่อยังทำให้เห็นว่าไอทีวียังทำธุรกิจสื่อ รวมทั้งมีการทำหนังสือไปยังศาลปกครองสูงสุดเพื่อเร่งรัดคดีไอทีวี ให้ตัดสินภายในเดือนนี้ เพื่อให้มีผลบางอย่างทางกฎหมายกับคุณพิธาโดยตรง
ผมรู้สึกสะเทือนใจที่มีความพยายามทำให้ไอทีวีฟื้นคืนชีพเพื่อมีจุดประสงค์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกครั้ง เพื่อขัดขวางการทำหน้าที่ผู้แทนราษฏรและนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
ผมจึงอยากเรียกร้องในฐานะอดีตคนไอทีวีที่เคยประสบชะตากรรมต้องตกงานและเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2550 ขอให้หน่วยงานต่างๆให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา และพิจารณาอย่างรอบคอบตามหลักของกฎหมายที่มีนิติรัฐและนิติธรรม เพราะมิใช่แค่อดีตคนไอทีวีอย่างตนที่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการใช้กระบวนการกฎหมายมาทำลายความตั้งใจทำงานทางการเมืองของคุณพิธา และทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ประชาชนได้เลือกตั้งให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกลและคุณพิธาอีกด้วย รวมทั้งจะทำให้ในวงการกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันตนก็ทำหน้าที่ในฐานะทนายความและนักกฎหมายคนหนึ่งว่า หลักนิติรัฐและนิติธรรมที่ควรจะเป็น และเป็นกรณีศึกษาอีกครั้งหรือไม่ และเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามถือครองหุ้นสื่อ แท้ที่จริงเพื่อการป้องกันผลประโยชน์และส่วนได้เสียทางการเมือง หรือ ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่า